Thursday, March 30, 2017

วีซ่าท่องเที่ยวออสเตรเลีย

สวัสดีค่ะ My mates ทุก ๆ คน หายไปหลายวัน วันนี้แวะมารายงานตัวแล้วค่าาา ที่หายไปก็ไม่ใช่อะไรค่ะ มีทัวร์ ฝนตก ทำขนม และยื่นวีซ่าท่องเที่ยวให้ลูกชาย เลยแอบวุ่นวายไปหน่อย 555 วันนี้เลยตั้งใจว่าจะมารีวิวเรื่องการขอวีซ่าออนไลน์แบบสั้น ๆ แต่รับรองว่าอ่านแล้ว เพื่อน ๆ สามารถขอวีซ่าให้กับคนที่คนรักที่อยากพาเค้ามาเที่ยวออสเตรเลียกับเรา อย่างที่ยุ้ยทำได้แน่นอนค่ะ

อย่างที่หลาย ๆ คนทราบกันดีอยู่แล้วนะคะว่าในช่วงสามสี่ปีที่ผ่านมาทางสถานทูตออสเตรเลียเปิดโอกาสให้ผู้ขอวีซ่าสามารถยื่นขอวีซ่าหลายประเภทผ่านทางระบบออนไลน์ ซึ่งแน่นอนว่า "สะดวกมาก ๆ " แถมยังจ่ายค่าวีซ่าผ่านบัตรเครดิต บัตรเดบิต ธนาคารของออสได้อีกด้วย ไม่ต้องเสียเวลาไปแลกเป็นเงินไทยจ่ายที่ไทย แต่ถึงก็ยังมีข้อกำหนดอีกนิดหน่อยเพิ่มมาคือ การเก็บลายนิ้วมือและถ่ายรูปที่ต้องเดินทางไปทำที่ VFS

แต่ก็เอาเถอะ การยื่นออนไลน์มันก็สะดวกมากพอแล้ว จะไปเก็บลายนิ้วมือเพิ่มอีกขั้นตอนนึงก็ไม่ได้เป็นการยุ่งยากอะไร มาว่าขั้นตอนกันเลยดีกว่าค่ะ

1. ผู้สมัครขอวีซ่า ทำการสมัครเป็นสมาชิก ImmiAccount ที่เว็บไซต์ www.border.gov.au โดยเลือกหัวข้อ ImmiAccount และ Create an immiaccount จากนั้นทำการกรอกข้อมูลส่วนตัวต่าง ๆ และอีเมล์ ทางอิมจะส่งอีเมล์มาให้เราทำการยืนยันเป็นอันเสร็จค่ะ

2. เตรียมเอกสารที่จะใช้ประกอบการพิจารณาให้พร้อมโดยของยุ้ย ๆ เตรียมเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนของผู้สมัครและส่วนของสปอนเซอร์ดังนี้ค่ะ (เอกสารวีซ่าท่องเที่ยวไม่จำเป็นต้องแปลค่ะ)
2.1 ส่วนของผู้สมัคร
Passport
บัตรประชาชน
ทะเบียนบ้าน
ใบเกิด
หนังสือรับรองจากทางโรงเรียนที่ผู้สมัครกำลังทำการศึกษาอยู่
แบบฟอร์ม 1229i สำหรับเด็กเดินทางโดยไม่มีผู้ปกครองเดินทางมาด้วย (www.border.gov.au/form)
แบบฟอร์ม 956a อันนี้สำหรับการนัดหมายเข้าเก็บลายนิ้วมือ
2.2 ส่วนของสปอนเซอร์
Passport
Bank Statement
Visa (ในออสเตรเลียถือวีซ่าอะไร)
บิลโทรศัพท์ (เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราอยู่ที่ไหน)
ทะเบียนสมรส,ใบหย่า (ถ้ามี)
จดหมายเชิญ
เมื่อเตรียมเอกสารต่าง ๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ทำการสแกนค่ะ จะใช้เป็นไฟล์ภาพ PNG JPEG หรือ PDF ได้หมดไม่ว่ากัน แนะนำให้จัดโฟลเดอร์ให้เรียบร้อยเวลาหยิบมาใช้จะได้หาง่าย ๆ นะคะ

3. หลังจากเตรียมเอกสารทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนที่เราต้องกรอกใบสมัครแล้วค่ะ ให้ล๊อคอินเข้าไปกรอกโดยใช้ ImmiAccount ที่เราสมัครไปครั้งแรก โดยเข้าไปเว็บไซต์ของอิม แล้วเลือก Login จากนั้นเลือก New Application ใบสมัครมีให้กรอกทั้งหมด 20 หน้าด้วยกัน อ่านคำถามให้ครบถ้วนเข้าใจแล้วก็ค่อย ๆ กรอกได้ค่ะ ขั้นตอนนี้ถ้าเรากรอกไม่เสร็จเราสามารถบันทึกและกลับมากรอกใหม่ได้อีกค่ะ

4. เมื่อเรากรอกใบสมัครเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อมาหน้าจอจะพาเรามายังการแนบเอกสารค่ะ โดยมีหัวข้อให้แนบเอกสารต่าง ๆ ให้เราเลือกตามหัวข้อแนบเอกสารเลย ใส่รายละเอียดของเอกสารในช่อง Description แล้ว Add file จากนั้นกด Attach ทำแบบนี้ไปจนครบกับจำนวนเอกสารที่เรามี โดยเอกสารที่สามารถแนบได้สูงสุดคือ 60 แผ่น ส่วนของยุ้ยแนบไปทั้งหมด 24 แผ่นด้วยกันค่ะ

5. เสร็จจากส่วนของเอกสารให้เราทำการตรวจสอบข้อมูลต่าง ๆ ให้ถูกต้องนะคะ ย้ำว่าต้องตรวจสอบก่อนเพราะเมื่อเราทำการ Submit ไปแล้วเราจะแก้ไขไม่ได้อีก ดังนั้นถ้าจะให้ดี ตรวจเช็คความถูกต้อง ชื่อ นามสกุล หมายเลขพาสปอร์ต รวมทั้งข้อมูลอื่น ๆ ให้ถูกต้องนะคะ จากนั้นกด Submit เพื่อส่งใบสมัครวีซ่าได้เลยค่ะ ซึ่งพอเราส่งวีซ่าปุ๊บ จะมีหน้าจอแจ้งการจ่ายเงินค่าธรรมเนียมวีซ่าก่อน ให้เราเตรียมบัตรเครดิต พร้อมจ่ายค่าธรรมเนียมวีซ่า 135 เหรียญออสและบวก 1.40 ค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตค่ะ จ่ายแล้วระบบจะส่งใบสมัครให้เราทันที เร็วมาก ๆ 55555

6. เมื่อเรากดส่งใบสมัครแล้ว เว็บอิมจะส่งจดหมายตอบรับมาหาที่อีเมล์ของเราโดยอัตโนมัติ พร้อมทั้งส่งไปใน ImmiAccount ของเราด้วย โดยจะส่งจดหมายพร้อมใบสั่งให้เราไปเก็บลายนิ้วมือที่ VFS สิ่งที่เราต้องทำคือ เลือกเข้าไปใน mailbox จากนั้นเลือกปริ้นจดหมายและใบสั่งนี้ออกมาค่ะ

7. ไป VFS โดยไม่ต้องนัดค่ะ (สำหรับเมืองไทย) ใครสะดวกที่ไหนก็ไปที่นั่น จ่ายค่าธรรมเนียม 839 พิมพ์ลายนิ้วมือและถ่ายรูป เสร็จแล้วกลับบ้านได้ค่ะ

8. สุดท้าย คือการ รอ จะบอกว่าการรอนี่คือไม่นานค่ะ ถ้าเอกสารเรียบร้อย อิมสามารถพิจารณาได้เลย โดยของยุ้ยยื่นวันที่ 25 มีนาคม 2560 เวลาเที่ยงคืนของออสเตรเลีย และไปเก็บลายนิ้วมือวันที่ 28 มีนาคม 2560 ผลวีซ่าออกวันที่ 30 มีนาคม 2560 หาซื้อตั๋วถูก ๆ แทบไม่ได้กันเลยทีเดียว 5555



สุดท้ายนี้ การยื่นวีซ่าของยุ้ยในรอบนี้คือการยื่นแบบมีสปอนเซอร์ คือยุ้ยสปอนเซอร์ให้ลูกชายมาเที่ยวที่นี่นะคะ ผู้สมัครเป็นนักเรียนยังไม่มีอาชีพอะไร ดังนั้นหลักฐานของสปอนเซอร์จึงสำคัญมากค่ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่วีซ่าผ่านจากการสปอนเซอร์คือความสัมพันธ์ที่แน่นหนามาก (แม่ลูก) กรณีอื่น ๆ อาจจะถูกพิจารณาเป็นกรณีไปนะคะ ไม่ได้ถือเป็นมาตรฐาน ถ้าผู้อ่านท่านใดสงสัย สามารถเม้นท์มาสอบถามได้ค่ะ ถ้ายุ้ยตอบได้ยุ้ยยินดีให้คำแนะนำค่ะ ขอบคุณที่แวะมานะคะ :)

ยุ้ย

Saturday, March 4, 2017

์เที่ยวทะเลทราย Newcastle กัน

สวัสดีค่ะวันนี้อยากมาชวนใครที่อยู่ใกล้ ๆ แถวนี้หรือกำลังมีแผนจะเดินทางมาออสเตรเลีย แวะมาเที่ยวที่ Newcastle กันค่ะ




เมือง Newcastle ตั้งอยู่ในรัฐ New South Wales ไม่ห่างจากตัวเมืองซิดนีย์มากนัก ถ้าเดินทางโดยรถไฟใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงครึ่งค่ะ 

Newcastle ถือเป็นเมืองที่สถานที่ท่องเที่ยวสวย ๆ ทางธรรมชาติมากมาย ไม่ว่าจะเป็นชายหาดสวย ๆ หรือเส้นทางเดินป่า การแค้มปิ้ง รวมทั้งเป็นแหล่งผลิตไวน์ชั้นดีอีกแห่งนึงของออสเตรเลียเลยค่ะ 

แต่ไฮไลท์ที่วันนี้จะมาเล่าให้ฟังนั่นก็คือ Sand dunes 





ถ้าใครเคยไป Sand dunes ที่เวียดนาม (ปล ยุ้ยยังไม่เคยไปเห็นแต่ในรูปเพื่อนโพสต์ในเฟสบุค) ก็จะมีลักษณะใกล้เคียงกันนะคะ ลักษณะเป็นหาดทรายขนาดใหญ่มาก ที่ยุ้ยว่าเป็นหาดทรายก็เพราะติดกับทะเลค่ะ จริง ๆ Sand dunes ที่ว่านี่จะมีความยาวจากตัวเมืองนิวคาสเซิ่ลไปจนถึงเมืองเล็ก ๆ อีกเมืองนึงที่ชื่อว่า Portstephens ระยะทางโดยคร่าว ๆ อยู่ที่ 32 กิโลเมตร คือยาวมาก กิจกรรมที่คนท้องถิ่นที่นี่นิยมกันคือการขับรถโฟร์วีลไปตามเนินทราย ซึ่งเนินทรายที่ว่านี่ถือว่าเป็นเนินทรายขนาดมหึมา เล็กใหญ่ก็สลับกันเป็นทำให้สภาพภูมิประเทศเกิดความสวยงามคล้าย ๆ กับทะเลทรายมากค่ะ นอกจากรถโฟร์วีลแล้ว จุดที่น่าสนใจและเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวชอบมาเล่น Sand boarding รวมทั้งมีบริการอูฐให้ขี่ด้วยนั่นก็คือ Anna Bay ค่ะ 

ที่ Anna Bay นี้ถือเป็น Sand dunes ขนาดใหญ่ที่พอเรานั่งรถโฟร์วีลเข้าไปถึงด้านใน มันไม่ใช่หาดทรายแล้วแต่มันเป็นทะเลทรายชัด ๆ สวยมาก ใครมาแล้วถ่ายรูปได้สวยทุกคนค่ะ 





กิจกรรมที่นี่ คือ การเล่น Sand boarding กระดานลื่นคล้าย ๆ กระดานโต้คลื่น แต่เป็นกระดานลื่นโต้คลื่นทราย โดยการขึ้นเนิน (ตอนนี้จะเหนื่อยเพราะต้องเดินขึ้นเนิน) แล้วนั่งบนกระดานปล่อยให้กระดานไหลลงมาคือสนุก ใครอยากกรี๊ดอย่ากรี๊ดนะ เพราะทรายเข้าปาก 555 ดังนั้นต้องหุบปากไว้ 

ถ้าไม่เหนื่อยก็วิ่งขึ้นวิ่งลง เล่น Sand boarding จนหมดแรงก็ไม่ว่ากันค่ะ 





จบจาก Sand boarding แล้วขากลับเราก็มาขี่อูฐกัน ซึ่งที่นี่ีมีบริการขี่อูฐกันด้วย 1 รอบใช้เวลาประมาณ 20 นาทีในการขี่อูฐไปรอบ ๆ ทะเลทรายและชายหาดก็ถือเป็นความสนุกสนานอีกรูปแบบนึงที่เราจะได้สัมผัส 


ถ้าใครไม่อยากขี่อูฐจะขอถ่ายรูปกับน้องอูฐก็ไม่ผิดกติกาอะไร ถ่ายได้ฟรี พี่เจ้าของอูฐไม่คิดตังค์ค่ะ 


สรุป ความสนุกแบบร้อน ๆ ท่ามกลางทะเลทรายที่ออสเตรเลียก็มีนะคะ ใครมาช่วงหน้าหนาวก็สามารถไปสกีได้ด้วย ไปทะเลทรายได้ด้วย ไปช้อปปิ้งก็ได้ด้วย สรุปเลยว่าได้ครบทุกกิจกรรมสำหรับประเทศออสเตรเลีย 
ใครมีแผนมาทางนี้ ยังไงก็แวะมานะคะ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมก็หลังไมค์มาถามกันได้หรือจะแวะไปดูภาพในเพจก็ได้เช่นกัน

https://www.facebook.com/4TravelMates/

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ 

สวัสดีค่ะ ยิ้ม 

Saturday, February 11, 2017

ฮัลโหลลลล.....ทำอะไรกันอยู่ไปเที่ยวอังกฤษกันมั้ย พอดีเปิดเฟสไปเจอโพสเก่า ๆ เลยอยากเอามาเล่าแบ่งปันเรื่องการขอวีซ่าไปอังกฤษจากออสเตรเลียค่ะ เพราะถึงแม้เราจะไม่ใช่คนออสซี่ แต่เพราะเราอยู่ที่นี่ดังนั้นถ้าเราเกิดมีโอกาสอยากเดินทางออกนอกประเทศที่ไม่ใช่ไทย และจำเป็นต้องขอวีซ่าเพื่อเข้าประเทศนั้น ๆ เราสามารถขอวีซ่าได้จากที่นี่โดยไม่ต้องกลับไปขอที่ไทย โดยมีรายละเอียดจากประสบการณ์คร่าว ๆ ตามนี้เลยค่ะ


เช้านี้มีนัด!!!! เรื่องวีซ่าไปอังกฤษค่ะ ส่วนมากเวลาขอวีซ่ายุ้ยมักจำใจต้องทำเองด้วยเกรงเรื่องค่าใช้จ่ายจะสูงเกินงบ 555 เหตุผลหลักเลยล่ะ เลยอยากเขียนไว้เผื่อเป็นความรู้ถ้าใครอยากมาขอวีซ่าไปอังกฤษที่ออสเตรเลียค่ะ สรุปเลยว่าต้องทำอะไรบ้าง 

1. กรอกคำขอวีซ่าออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์ของสถานทูต (https://www.gov.uk/apply-uk-visa) โดยต้องทำการสมัคร Account ก่อน หลังจากทำตามขั้นตอนแล้วก็ให้เอา Account นั้นมา Sign in เพื่อทำการกรอกข้อมูลใบสมัครค่ะ
2. เมื่อกรอกเสร็จก็จ่ายค่าธรรมเนียมออนไลน์ผ่านบัตรเครดิต $158 เหรียญออส (จริง ๆ ราคาไม่ได้ตามนี้ไปตลอดนะคะ เพราะรอบสองที่ขอราคาแพงกว่านี้ พอไปเช็คดูปรากฎว่าราคาแพงหรือราคาลดลงจะเป็นไปตามเวลาที่เรานัดหมายเพื่อไปพิมพ์ลายนิ้วมือและยื่นเอกสารค่ะ)
3. นัดวันเพื่อเข้ายื่นวีซ่าที่ VFS UK ซึ่งที่ซิดนีย์จะตั้งอยู่ที่ 189 Kent St ชั้น 8
4. จากนั้นก็เตรียมหลักฐาน ซึ่งบอกได้เลยว่าหลักฐานการขอวีซ่าที่นี่ง่ายกว่าเอกสารที่ไทย มี พาสสปอร์ต สเต้ทเม้นธนาคาร รูป 2 นิ้ว 2 แผ่น แผนการเดินทาง อันนี้เขียนเอาเช่นจะไปพักที่ไหน จะไปกับใคร ระยะเวลานานแค่ไหน ประมาณนี้ค่ะ ถ้ามีคนอังกฤษสปอนเซอร์ก็ให้เค้าเขียนจดหมายด้วยลายมือเค้าแนบไปด้วย อ่อ อย่าลืมเอกสารวีซ่าออสเตรเลียของเราไปด้วยนะคะ ต้องใช้ค่ะ
5. ไป VFS ตามวันเวลาที่นัดไว้หรือถ้าจะให้ดีก่อนเวลานัดสักนิดก็ดีค่ะ
6. ไปเจออียามจอมขี้เกียจ คุยโทรศัพท์ตลอดเวลา 5555 ผ่านขั้นตอนความปลอดภัยนิดหน่อยแล้วก็เข้าไปได้เลย (ยามนี้คือเจอตอนไปอังกฤษครั้งแรก แต่พอไปครั้งที่สองเจอยามอีกคนน่ารักมากให้คะแนนห้าดาวเลยค่ะ)
7. นำเอกสารที่เตรียมยื่นให้ จนท ทำการตรวจสอบ (จนท.VFS ของที่นี่มียาม 1 คน เจ้าหน้าที่ข้างในอีก 2 คน และเป็น VFS ที่เงียบมาก อาจจะเป็นเพราะออสซี่ไปอังกฤษได้ไม่ต้องขอวีซ่า ซึ่งต่างจากเมืองไทยที่ VFS คนเยอะมากกกก)
8. หลังจากตรวจสอบเอกสารเสร็จแล้วก็พิมพ์ลายนิ้วมือ ถ่ายรูป เซ็นต์เอกสารลายเซ็นต์เรา เป็นอันเรียบร้อย และจะใช้เวลารอผลประมาณ 3 วีค นานเหมือนกันนะ 5555 (จริง ๆ ไม่นานขนาดนั้น 555 หลังจากนั้นเค้าจะส่งพาสปอร์ตตัวจริงของเราไปทำการอนุมัติวีซ่าที่ประเทศฟิลิปปินส์ค่ะ ไม่รู้ทำไมเหมือนกันแต่ขอสองครั้งก็เป็นแบบนี้ทั้งสองรอบเลย)
9. เสร็จ กลับบ้าน ^_^ รอผลวีซ่า ซึ่งจำได้ว่าประมาณวีคนึงก็อนุมัติแระ VFS ก็ส่งเมล์มาบอกว่าวีซ่าอนุมัติแล้วให้ไปรับเล่มพาสกลับคืนจากนั้นก็ไปหาซื้อตั๋วเครื่องบินกัน แต่พอรอบสองเปรี้ยวมากซื้อตั๋วเครื่องบินก่อนค่อยขอวีซ่า 555

เสร็จแล้วการขอวีซ่าถามว่าง่ายมั้ยก็ไม่หรอกค่ะ แต่ก็เชื่อแน่ ๆ ว่าไม่อยากเกินความสามารถแน่นอน อาจจะต้องมีการอ่านภาษาอังกฤษบ้างเพราะคำถามเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดและมีจำนวนคำถามมากพอสมควรแต่การขอวีซ่าไม่ใช่การทำข้อสอบดังนั้นมีเวลาก็ค่อย ๆ อ่านแล้วค่อยทำ ทำได้แน่นอนค่ะ ถ้ามีอะไรสงสัยก็คอมเม้นท์มาเลยค่ะ เดี๋ยวจะมาตอบให้ ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้นะคะ วันนี้ยุ้ยไปนอนก่อน สวัสดีค่ะ

Saturday, February 4, 2017

การคำนวณต้นทุน การคิดราคาขาย

วันนี้จะมาเล่าเรื่อง #การคำนวณต้นทุน แบบบ้านๆ ใครได้อ่านแล้วอาจจะนำไปใช้ในการคำนวณต้นทุนการทำขนมของตัวเองได้นะคะ ยาวนิดนึง ค่อยๆอ่านนะคะ ใจเย็นๆ 😁😁
เริ่มต้นเลยจากประสบการณ์ หลักๆจะมีต้นทุน ดังนี้
1. ต้นทุนวัตถุดิบ
2. ค่าแรง
3. ค่าสาธารณูปโภค
4. ค่าแพ็คเกจจิ้ง
5. ค่าขนส่ง
จำพวกนี้คือต้นทุนที่คนทำขนมขายแบบบ้านๆอย่างเราต้องมีอย่างแน่นอนค่ะ เอาล่ะลองมาดูที่ตัวอย่างกันเลย สมมติว่ายุ้ยทำขนมปั้นสิบขาย มีหลักการคำนวณต้นทุนง่ายๆดังนี้
1. วัตถุดิบหลัก
🐥ไส้ 🐟🐟 ปลาทูน่า 1 กิโลกรัม ราคา 100 บาท
           🍄🍄 หอมแดง  500 กรัม ราคา 30 บาท
            🐜🐜 น้ำตาล  300 กรัม ราคา 40 บาท
🐥รวมราคาไส้ 100 + 30 + 40 = 170 บาท

แป้ง  💮💮💮 1 กก. ราคา 50 บาท

2. วัตถุดิบอื่นๆที่ใช้ปริมาณน้อยคำนวณยากเช่นน้ำปลา กระเทียม พริกไทย หรือจิปาถะ คิด 10% ของราคาวัตถุดิบหลัก ในการนี้น้ำปลาใช้สำหรับปรุงไส้ดังนั้น 10% ของ 170 = 17 บาท (ทำไมแอบแพง) 5555

3. ค่าสาธารณูปโภค น้ำ ไฟ แก๊ส สมมติคิด 20% ของราคาวัตถุดิบหลักและวัตถุดิบอื่นๆ ข้อ 1+ ข้อ 2 เท่ากับ 170+50+17=237  บาท ดังนั้นค่าสาธารณูปโภคจะเท่ากับ 237×20%= 47.40 บาท

4. ค่าแรงวันล่ะ 300 บาทในที่นี่สมมติว่าทำแค่วันเดียว ค่าแรง =  300 บาท

5. ค่าแพ็คเกจจิ้ง สมมติกล่อง + โลโก้ คิดราคาแล้วกล่อง 3 บาทถ้วน = 3 บาท

โหหหห เขียนเมื่อยอ่ะ แต่นี่คือต้นทุนคร่าวๆ ที่เราแม่ค้าบ้านๆ จะต้องเจอและต้องคำนวณเองให้ได้ ถ้าเราจะไปถามเพื่อนว่าจะขายเท่าไหร่ บอกเลยเพื่อนก็ตอบไม่ได้เพราะเพื่อนไม่รู้รายละเอียดต้นทุนกับเรา นะคะ 😀😀😀

ต่อค่ะ หายเมื่อยแระ หยิบปากกาออกมาบวกเลขด้วย 55555

พอได้ต้นทุนแล้วยุ้ยเอาไปทำอะไร💕💗
คำตอบคือยุ้ยเอาวัตถุดิบไปทดลองว่าเมื่อทำขนมออกมาแล้ว ได้ผลลัพธ์เท่าไหร่ สมมติต่อนะคะว่า วัตถุดิบทั้งหมดทั้งมวล

ได้ไส้ขนม จำนวน 500 ลูก
ได้แป้งห่อขนม 500 ลูก เช่นเดียวกัน เลขกลมๆจะได้คำนวณง่ายๆ

ว่าแล้วก็เลื่อนดูโพย โจทย์ข้างบน 555 จำไม่ได้

มาอีกรอบ จะได้จบๆ อุตส่าห์อยากแบ่งปัน 😁😁😁

🍄สรุป ทุนข้อ 1+2+3 = 584.40 บาท เฉลี่ยเป็นราคาต้นทุนขนมต่อลูกๆล่ะ 1.17 บาท🍄

💮ถึงขั้นตอนนี้เราต้องจับขนมลงกล่อง เอาไปขายเฉยๆไม่ได้ ต้นทุนกล่องๆล่ะ 3 บาท ยุ้ยใส่ขนมลงไป 10 ลูกต่อกล่อง เท่ากับ
ค่าขนม 1 กล่อง 10×1.17 = 11.70 บาท
ค่ากล่องๆ ล่ะ 3 บาท เอา 3 + 11.70 = 14.70 นี่คือราคาต้นทุนขนมต่อ 1 กล่อง = 14.70 บาท💮

ต่อมาต้องคิดต้นทุนขนส่ง (ถ้ามี) สมมติว่าค่ารถไปกลับ 100 บาท ส่งขนมจำนวน 50 กล่อง คิดค่าขนส่งต่อกล่องเท่ากับกล่องล่ะ 2 บาท
ค่าขนม + ค่าขนส่ง =  14.70+2 = 16.70

นี่คือต้นทุนที่คุณสามารถคำนวณเองได้ อาจจะไม่เป๊ะตามหลักการทางบัญชี แต่อย่างน้อยจะช่วยให้เราเห็นตัวเลขในส่วนของต้นทุนได้บ้างนะคะ รายละเอียดเยอะหน่อยแต่มันทำให้คุณรู้เลยว่าจะขายเท่าไหร่ สรุปแล้วขนมยุ้ยราคาทุนต่อกล่อง 16.70 บาท ถ้าขาย กล่องล่ะ 15 ได้อะไรมั้ย??? ตอบ จะทำไปทำไม 5555 ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยคำนวณกำไรไปเพิ่มอีก 20 หรือ 30% ตามความเหมาะสม คุณจะได้ราคาขายค่ะ เช่น
16.70+20%= 20.04 บาท ปัดเป็นเลขกลมๆ ขาย 20 บาท ง่ายๆ

4TravelMates



Hello, my name is Jenny Smith originally from Thailand married English man and we live in Australia. 

I'd love brief a bit more about 4TravelMates, our aims and also who we are.

Firstly, 4TravelMates has been creating for sharing our travel stories, places, people, cultures and food.

Secondary, life is not just travel from one place to another in the other hand life journey has also travel from present to future too. So that, this blog will be our memories that we are very welcome to share to you too.

Finally, we are your friend. Let's start our journey together by reading me, sharing your and being together.

Thank you very much to visit my blog. Have a wonderful day. 😊😊

    Yui Jenny Smith


         สวัสดีค่ะทุกๆท่านที่เจ้ามาเยี่ยมชม Blog ของยุ้ย ชื่อยุ้ยนะคะ แต่เรียกตัวเองว่า "เจนนี่" ตั้งแต่เข้าห้องเรียนวันแรกแล้วครูให้ตั้งชื่อภาษาอังกฤษไม่รู้จะชื่ออะไร พอดีครูชื่อเจนนี่ เลยตั้งตามครูเลย 😁😁

        ยุ้ยคือคนไทยที่แต่งงานกับหนุ่มอังกฤษและเราอาศัยอยู่ในประเทศออสเตรเลียค่ะ สามีชื่อลุคอาชีพเป็นเชฟ ส่วนยุ้ยไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ทำได้ทุกอย่าง ฮาาาาา คงไม่งงนะคะ 😄😄

       แล้ว 4TravelMates ล่ะคืออะไร 4TravelMates คือชื่อทางการค้าของยุ้ยเอง ขายสินค้าเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ขณะเดียวกันก็ให้ข้อมูลทางด้านการเดินทาง ท่องเที่ยว ทำกับข้าว ขนม ภาษา ศิลปวัฒนธรรม เยอะแยะ บลาๆๆๆ แล้วแต่ว่าในแต่ล่ะวันจะเจออะไรบ้างในการดำเนินชีวิตค่ะ

      เพราะอยากแชร์และแบ่งปันจึงเกิดเป็น 4TravelMates ขึ้น หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนจะแวะมาอ่านนะคะ

      สุดท้ายนี้ยินดีต้อนรับและยินดีที่ได้รู้จัก ขอให้มีความสุขกับการเดินทางไปด้วยกันค่ะ

     ยุ้ย สมิท